วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

ร้าน best top buy

จำหน่ายสินค้า ON LINE 

สินค้าแฟชั่นหลากหลาย
 ทั้งในและต่างประเทศ
มาให้คุณซื้อหา

การบริการ 

เน้นคุณภาพและความซื่อสัตย์ ตรงเวลา ราคายุติธรรม
จากประสพการณ์ ที่เคยเป็นทั้งผู้ซื้อและ จำหน่าย
ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่อยากให้คุณ พึงพอใจ

ปัจจุบัน ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ของประเทศ เพื่อพัฒนา ส่งเสริมและสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศให้เป็นไปตามความต้องการ โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนการมีมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารที่มีความมั่นคงปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินการบรรลุผล ตามความมุ่งหมายในการที่จะพัฒนาการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของ ประเทศทั้งในระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ระดับองค์กร และระดับประชาชน

ตอนนี้ตัวเลขล่าสุดของผู้ใช้ Facebook ในไทยอยู่ที่ 41 ล้านราย และยังติดอันดับ 8 ของโลกด้วย คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 17% รวมทั้งจำนวนเพจ 700,000 เพจส่วน Instagram เติบโตสุด 74% ด้วยจำนวนผู้ใช้ 7.8 ล้านยูสเซอร์ มีผู้ใช้แอคทีฟในแต่ละวัน 1 ล้านยูสเซอร์ ทวิตเตอร์มีผู้ใช้อยู่ที่ 5.3 ล้านยูสเซอร์ เติบโต 18% มีจำนวนแอคทีฟยูสเซอร์ 1.2 ล้านยูสเซอร์ และไลน์ มีผู้ใช้ 33 ล้านยูสเซอร์

สำหรับอัตราการเติบโตของผู้ใช้ Facebook ทั่วโลก ตัวเลขอยู่ที่ 14% ปัจจุบันมีทั้งหมด 1,590 ล้านยูสเซอร์ โดยอันดับหนึ่งที่มีผู้ใช้มากสุดคือสหรัฐอเมริกา จำนวน 193 ล้านยูสเซอร์ รองลงมาคืออินเดีย 137 ล้านยูสเซอร์ และบราซิล 104 ล้านยูสเซอร์ สำหรับในประเทศไทยติดอันดับ 8 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลฯ ในไทยมาฝาก นักการตลาดเตรียมตัวอัพเดทพร้อมๆ กันเลยดีกว่า

ผู้ใช้งาน Facebook 41 ล้านยูสเซอร์ในไทย มีผู้ชาย วัย 18-34 ปี ใช้มากที่สุด
คนไทยนิยมโพสต์ Facebook มากที่สุดในช่วงเวลา 10:00- 12:00 น. รองลงมาเป็นช่วงบ่าย และมาพีคอีกที 20:00- 21:00 น. 
แต่ช่วงเวลาที่แบรนด์นิยมโพสท์มากที่สุดคือช่วง11.00 น.และ 20.00น.
ช่วงเวลาที่คน Engage กับโพสต์มากที่สุด (กดไลค์ คอมเมนต์ และแชร์) คือ 16:00- 20:00 น. 
ส่วนในวันที่มีการ Engage มากที่สุดคือวันพุธ ช่วง 9:00– 16:00 น. และวันเสาร์เป็นวันที่มีการ Engage น้อยที่สุด
ในทวิตเตอร์มีการทวิตมากที่สุดช่วง 20:00- 22:00 น. และมีการ Engage ช่วง 20:00- 23:00 น. มากที่สุด
สำหรับ Instagram คนนิยมโพสต์มากที่สุด คือ 20:00- 21:00 น.
ช่วงเวลาที่คน Engage กับโพสต์ใน Instagramมากที่สุดคือ 17:00- 22:00 น. โดยช่วงเย็นวันศุกร์และใรวันเสาร์เป็นช่วงที่พีคที่สุดที่คน Engagement

ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวเลขสถิติที่แสดงถึงอัตราการเติบโตของผู้ใช้งาน รวมไปถึงพฤติกรรมของผู้เล่นโซเชียลฯ ที่แบรนด์สินค้าสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนการตลาดได้ 

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ขายของออนไลน์เสียภาษียังไง ไม่ให้โดนย้อนหลัง !

ขายของออนไลน์เสียภาษียังไง ไม่ให้โดนย้อนหลัง !

พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ที่มีรายได้จากการขายของผ่านอินเทอร์เน็ต รู้หรือไม่ว่าคุณเองก็ต้องเสียภาษีกับเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายคนที่ไม่เคยรู้และไม่เคยศึกษาเรื่องการเสียภาษีมาก่อนอาจจะโดนทวง ภาษีย้อนหลัง จนจ่ายกันแทบไม่ไหว ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องการเสียภาษีจากการขายของออนไลน์และไม่ต้อง โดนเรียกเก็บย้อนหลัง วันนี้กระปุกดอทคอมมีบทความดี ๆ จากเว็บไซต์ aommoney.com มาฝากให้ได้ศึกษากันจ้า

สำหรับที่มาของบทความ “ภาษีขายของออนไลน์“ ในตอนนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ @TAXBugnoms ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยในรายการ Money Makeover FM102 ดำเนินรายการโดย คุณรัชชพล เหล่าวานิช และคุณศลิลนา ภู่เอี่ยม ในหัวข้อเรื่อง ภาษีสำหรับธุรกิจขายของออนไลน์ ซึ่งหัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหลายมักจะสงสัย และเข้าใจผิดเรื่องการเสียภาษีกับการขายของออนไลน์อยู่เป็นจำนวนมากครับ วันนี้เลยถือโอกาสชี้แจงให้ฟังกันแบบหมดเปลือกในบทความเดียวกันไปเลย

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า.. เมื่อเกิดการซื้อขายขึ้นมาระหว่างคนขายกับคนซื้อ ไม่ว่าจะรับเป็นเงินสด เช็ค แคชเชียร์เช็ค เช็คของขวัญ อะไรทั้งหลายแหล่ รู้แน่ ๆ ว่าสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันใจแล้วละก็ เรานับว่าเป็น “เงิน” ทั้งหมดครับ และเมื่อขายของออนไลน์เพื่อเงินนี่แหละ จึงทำให้เรามีหน้าที่ต้องเสียภาษีอีกด้วย

เพราะฉะนั้น “การเปิดร้านค้าออนไลน์” ไม่ใช่เปิดขึ้นมาแล้วไม่ต้องเสียภาษี เพราะถ้ามีรายได้ขึ้นมาเราก็ต้องเสียภาษีเหมือนการขายของตามปกติ โดยมีภาษี 2 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับการขายของแบบเรา ๆ นั่นคือ “ภาษีเงินได้” และ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม”

1. ภาษีเงินได้ ถ้า หากเป็นร้านค้าที่เปิดโดยคนธรรมดาบ้าน ๆ อย่างเรา ๆ ก็ถือว่าต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยภาษีเงินได้นั้นจะมาจากการคำนวณ “เงินได้สุทธิ” แต่ถ้าหากจดทะเบียนเป็น “นิติบุคคล” อย่างห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท อันนี้ก็ต้องเสียเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยคำนวณจาก “กำไรสุทธิ” แทน

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องเสียก็ต่อเมื่อเรามีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เมื่อไรที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ว่านี้เรามีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่า เพิ่มและเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าทันที เช่น สินค้าราคา 100 บาท ต้องบวก “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” เข้าไปอีก 7 บาท ซึ่งลูกค้ามีหน้าที่ต้องจ่าย 107 บาทนั่นเอง

แต่ทว่า.. บทความนี้ขออนุญาตเจาะลึกในเรื่อง ภาษีขายของออนไลน์ สำหรับบุคคลธรรมดาที่เปิดร้านค้าออนไลน์เท่านั้นนะครับ เพราะถ้าพูดเรื่องของนิติบุคคลไปด้วยเดี๋ยวจะยุ่งกันไปใหญ่ และสำหรับบุคคลธรรมดา เราจะพิจารณาภาษีด้วยวิธีนี้ครับ

1. กรณีที่รายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี เราจะเสียภาษีแค่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

2. กรณีที่รายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เราจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม



 สำหรับวิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีขายของออนไลน์ แบ่งออกเป็น 2 วิธีได้ดังนี้ครับ


1. เงินได้จากการขายของออนไลน์ ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 (เงินได้ประเภทอื่น ๆ)

2. สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธีคือ แบบเหมาในอัตรา 80% ของรายได้ และแบบตามความจำเป็นและสมควร

สำหรับวิธีการเลือกหักค่าใช้จ่ายแต่และแบบนั้น เราควรจะเลือกแบบไหนกันดี ขอแนะนำให้พิจารณาแบบนี้ครับ

ถ้าเป็นการขายของออนไลน์ทั่วไป เช่น เสื้อผ้า ของใช้ เครื่องสำอาง ฯลฯ ประเภทสิ่งของจับต้องได้ต่าง ๆ ขอแนะนำให้หักค่าใช้จ่าย “แบบเหมา” ไปเลยดีกว่า แต่ถ้าหากอยากหักค่าใช้จ่ายตามจำเป็นและสมควรเพราะประหยัดภาษี ก็ขอแนะนำว่าให้มั่นใจว่าเอกสารหลักฐานที่เรามีนั้นครบถ้วนถูกต้อง มิฉะนั้นอาจจะมีปัญหากับพี่สรรพากรได้ แล้วจะกลายเป็นเสียภาษีมากกว่าเดิมไปซะงั้น

3. ส่วนที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่าย ให้นำมาหัก “ค่าลดหย่อน” ตามกฎหมายเพื่อคำนวณเงินได้สุทธิกันต่อเลยครับ


หลังจากนั้นคูณด้วยอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามลำดับขั้นบันได เพื่อหาภาษีที่เราต้องจ่าย แต่ขอเตือนไว้ก่อนครับว่า ถ้าหากเรามีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิน 1,000,000 บาทต่อปี !!! เราต้องคำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมินโดยนำ 0.5% มาคูณเงินได้ของเราด้วยครับ และหลังจากนั้นให้นำมาเปรียบเทียบภาษีที่คำนวณได้ทั้งสองวิธี และเลือกว่าภาษีที่คำนวณตามวิธีไหนได้มากกว่าให้ใช้วิธีนั้นในการเสียภาษี ครับ !! (โหดจังเลย)


ทีนี้เรามาดูตัวอย่างสำหรับ วิธีการคำนวณภาษีเงินได้สำหรับคนขายของออนไลน์กันดีกว่าครับ สมมุติว่า… นายหมอนัทแห่งคลินิกกองทุนเปิดร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์สำหรับท่านชายโดยเฉพาะ (เอ๊ะ !! ยังไง)  โดยมีรายได้ตลอดทั้งปี 5,000,000 บาท และตัวหมอนัทเองนั้นยังโสดสนิทศิษย์ส่ายหน้าอยู่



ดังนั้น วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิตามวิธีที่ 1 ของหมอนัทคือ = (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี

1) รายได้ของหมอนัท 5,000,000 บาท
2) ค่าใช้จ่ายของหมอนัท 80% x 5,000,000 บาท = 4,000,000 บาท
3) ค่าลดหย่อนส่วนตัวของหมอนัท 30,000 บาท
4) เงินได้สุทธิ จาก 1-2-3 = 970,000 บาท
5) ภาษีที่คำนวณได้ (ตามอัตราภาษีก้าวหน้า) คือ 109,000 บาท

เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีคำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมิน x 0.5% = 5,000,000 x 0.5% = 25,000 บาท
สรุปว่า… นายหมอนัทจะต้องเสียภาษีจำนวน 109,000 บาท

ช่องทางการขายออนไลน์

ช่องทางการขายออนไลน์ในปัจจุบันที่เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นคือ ช่องทาง Social Media เช่น Facebook และ Instagram ส่วนเว็บไซต์ขายของ (เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ) หรือร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง แม้จะเป็นช่องทางที่มีมาก่อน แต่ยังเป็นช่องทางที่สำคัญและเป็นช่องทางหลักในความเห็นของผู้เขียน

สาเหตุที่ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านสร้างเว็บไซต์ขายของหรือร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง เป็นเพราะ

1. ง่าย - การเปิดร้านค้าออนไลน์สามารถทำได้ทันที  
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการร้านค้าออนไลน์พร้อมใช้งาน ทำให้ผู้อ่านสามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ของตัวเองได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่คลิกเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลาจ้างคนเขียนโปรแกรมเหมือนในอดีต และทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก

2. มีกลไกสร้างความความน่าเชื่อถือ
กลไกการสร้างความน่าเชื่อถือก็คือ การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้จะให้การรับรองเฉพาะกรณีที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองเท่านั้น 

3. มีระบบจัดการบริหารสินค้าและลูกค้า
การจัดการที่เป็นระบบ ทำให้การขายของออนไลน์เป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล 

4. เอื้อต่อการสร้างแบรนด์
สามารถสร้างการจดจำในตัวแบรนด์สินค้า เริ่มตั้งแต่การตั้งชื่อโดเมน  การสร้างอัตลักษณ์ผ่านการออกแบบหน้าตาเว็บไซต์

ผู้เขียนเชื่อว่า ร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง ยังคงเป็นช่องทางการขายที่เติบโตและยั่งยืน
555555555555555555555555555555555555555555555555555